บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (AI9)

ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO and Co-founder บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (AI9)
“เอกชนอยากบอก” ฉบับส่งท้ายปี 2567 ขอแนะนำหนึ่งใน NSTDA Startup ที่ สวทช. ต้องการผลักดันงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ กับ บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (AI9) ด้วยการนำทีมของ ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI มามากกว่า 20 ปี และได้ผันตัวก้าวสู่การเป็น Startup ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 4 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการนำธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นให้ข้ามผ่านวิกฤตการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก
จากนักวิจัยก้าวสู่นักธุรกิจ Startup
ด้วยการเป็นนักวิจัยเนคเทคมาอย่างยาวนาน และเป็นหนึ่งในทีมผู้พัฒนาผลงาน S-Sense ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น เนื่องจากเป็นระบบแรกๆ ที่มีการวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้าบนโซเชียลมีเดียว่ามีความรู้สึกทั้งในเชิงบวก/ลบต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อนำผลการวิเคราะห์ที่ได้ไปวางแผนกลยุทธ์การตลาดของบริษัท จากจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานร่วมกับเอกชน จึงเป็นแรงผลักดันให้อยากก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจ เพราะชอบนำเสนองานและพูดคุยกับลูกค้าเพื่อให้เข้าถึงความต้องการ และเมื่อ สวทช. มีกลไกสนับสนุนให้นักวิจัยนำผลงานไปต่อยอดด้วยโมเดลธุรกิจ NSTDA Startup จึงตัดสินใจเข้าร่วมและเกิดเป็น บริษัท เอไอไนน์ จำกัด (AI9) โดยมีบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทเทอราบิท จำกัด ให้การสนับสนุนและร่วมทุน
“จากการก้าวสู่ธุรกิจแบบเต็มตัว ความกดดันก็จะแตกต่างจากการเป็นนักวิจัยที่จะต้องทำงานให้บรรลุ KPI พอเราออกไปนำเสนองานวิจัยให้เอกชน ก็ได้รับ requirement ที่ลูกค้าต้องการ แต่ตอนที่เป็นนักวิจัย เราไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เต็มที่ เนื่องจากเรามีงานตาม KPI ขององค์กร หรือแม้แต่น้อง ๆ ในทีมก็ต้องทำงานตอบ KPI ของแต่ละคน ก็เลยเกิดเป็น gap ที่ไม่สามารถทำตามโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ เลยคิดว่าถ้าเราคิดจะทำธุรกิจก็ต้องทำให้เต็มที่และเต็มเวลา การออกมาเป็น Startup ทำให้เราทำงานคล่องตัวมากขึ้น”
ที่ผ่านมาเราต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ ต้องฟังความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เพราะเค้าจะมองว่างานของเราเป็นแค่ส่วนประกอบเดียว การทำงานกับเอกชนทุกขั้นตอนจะต้องมีความชัดเจน ประกอบกับการทำธุรกิจต้องแข่งกับเวลา และที่สำคัญคือเราจะต้องบริหารความคาดหวังของลูกค้า ต้องปรับจูนฐานความคิดให้เท่าหรือใกล้กัน ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า AI ไม่ได้ทำงานเหมือนกับโปรแกรมคำนวณหรือดึงข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาตามคำสั่ง แต่เป็นการประมวลผลข้อความ ภาพ และเสียงพูด ที่ไม่สามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นได้ เช่น ภาษาที่ลูกค้าใช้งานอาจจะแตกต่างกัน หรือเสียงพูดใน call center อาจจะมีเสียงอื่นดังรบกวนได้ ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ อาจจะทำให้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับความคาดหวัง ดังนั้นการพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก คือต้องปรับ expectation กับสิ่งที่ deliver ให้ใกล้เคียงกันที่สุด ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาในภายหลังได้

ฝ่าวิกฤต COVID-19 เมื่อหน่วยงานรัฐตอบรับเทคโนโลยี AI
ย้อนเวลากลับไป 3 ปี ลูกค้าสำคัญที่ต้องการนำเทคโนโลยี Speech to Text หรือการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความอัตโนมัติไปใช้ และช่วยให้ AI9 ผ่านพ้นวิกฤตในช่วงการระบาด COVID-19 มาได้ คือ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีการจัดประชุม/อภิปรายในรูปแบบที่เป็นทางการ รวมถึงการทำรายงาน/บันทึกการประชุมในแต่ละครั้งต้องใช้คนจำนวนมากที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่และประสิทธิภาพของงาน ถือเป็นความท้าทายของทีม AI9 ที่ต้องลงไปทำงานคลุกคลีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพกระบวนการทำงาน ซึ่งในการรับ requirement นี้มาจากคนทำงานที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 20 ต้นๆ ไปจนถึงอายุใกล้เกษียณ เพราะคนแต่ละ generation ก็จะมี requirement ที่ไม่เหมือนกัน ก็ต้องปรับจูนความคิดและใช้เวลาพูดคุยเพื่อให้ทราบถึงความต้องการทั้งหมดที่จะนำ AI มาช่วยให้ตรงจุด ในมุมนักวิจัยอาจจะมั่นใจว่าผลงานเราดีแล้ว แต่พอมาใช้งานจริงอาจจะยังไม่ตอบโจทย์ก็ได้
“ตรงนี้ AI ต้องช่วยเค้าให้ได้ เราต้องเข้าไปพูดคุยและทำความเข้าใจกับผู้ใช้งานของรัฐสภาที่ทำรายงานการประชุมกว่า 80 คน ยิ่งถ้าเป็นการอภิปรายสดก็ต้องทำบันทึกการประชุมให้เร็ว เพราะประธานจะเรียกดูบันทึกได้ทุกเมื่อ งานพวกนี้ต้องเร่งทำ ยิ่งถ้าอภิปรายติดต่อกันดึกดื่นและหลายวันต่อเนื่อง เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2-3 คืนต่อกัน คนทำงานเองก็เครียดและกดดัน บางครั้งรายงานการประชุมมีเป็นพันหน้ากระดาษ ปริมาณงานมหาศาลมาก แต่พอนำระบบฯ มาใช้ ทำให้เจ้าหน้าที่ก็รู้สึก happy มากขึ้น”
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่เริ่มต้นและปรับใช้ Digital Transformation ในหน่วยงาน และเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่นำ AI ไปใช้แล้วเกิดผลสำเร็จ จนที่ผ่านมาได้รับรางวัลการประกวดนวัตกรรมดีเด่นภายในหน่วยงานด้วย เรียกได้ว่าเป็น success case ของ AI9 และเป็นการพิสูจน์ว่าถ้าหากหน่วยงานนำ AI มาใช้ให้ถูกที่ถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหา อย่างไรก็ตามในมุมต่อต้านก็มี เพราะอาจจะเข้าใจว่า AI จะมาทำงานแทน “คน” แต่ในมุมนี้ คือ ปริมาณงานที่มีมากจนล้น ซึ่ง AI ก็จะเข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ลดเวลาและยังคงประสิทธิภาพของงานด้วย จากความสำเร็จในครั้งนี้ทำให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไว้วางใจให้ AI9 ดำเนินงานต่อเนื่องในโครงการระยะที่ 2 ด้วย
นอกจากนี้ AI9 ยังได้รับทุนจากกระทรวง อว. ภายใต้ สอวช. เพื่อขยายผลการใช้ระบบถอดเสียงและสรุปรายงานการประชุมให้กับ 10 หน่วยงานภาครัฐได้นำไปใช้ฟรีเป็นเวลา 1 ปี ถือเป็นโอกาสที่ดีในนำระบบไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน เพื่อให้ AI ได้ถูกใช้ประโยชน์ในประเทศมากขึ้น เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งลดคนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเอาคนออก แต่ให้คนไปทำงานอย่างอื่นได้เต็มศักยภาพ จะช่วยให้ที่ทำงานเป็น Happy Workplace ได้
จุดแตกต่างที่โดดเด่นของ AI9
AI9 สามารถ customize ทุกรายละเอียดของลูกค้าได้ ทำให้ AI9 แตกต่างจาก AI ของต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft หรือ Amazon โดยเราออกแบบระบบฯ ให้ตรงใจผู้ใช้งานมากที่สุด แม้แต่การ customize เป็นเลขไทยเพื่อใช้กับเอกสารของทางราชการ รวมถึงชื่อเต็มหรือคำย่อของหน่วยงานต่างๆ ระบบฯ สามารถถอดชื่อหน่วยงานออกมาเป็นข้อความได้อย่างถูกต้อง เพราะระบบฯ จะถอดคำให้เป็นภาษากึ่งราชการได้เลย ไม่ใช่คำพูดหรือสนทนาทั่วไป หรือแม้แต่การวาง format คำศัพท์ต่างๆ ถ้าเป็น engine ทั่วไป จะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดแบบนี้ นอกจากนี้ระบบฯ ยังมีชุดคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ เพราะทุกเหตการณ์อาจถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในรัฐสภาได้ตลอดเวลา
นอกเหนือจากการให้บริการถอดเสียงการประชุมเป็นข้อความให้กับรัฐสภาแล้ว ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทธุรกิจประกันภัยที่ต้องใช้ agent ทำหน้าที่เหมือนเป็น call center ในการให้ข้อมูลหรือบริการขายประกันออนไลน์ เนื่องจากมีรายละเอียดข้อมูลกรมธรรม์ที่จะต้องแจ้งกับผู้ซื้อประกันให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด โดย AI จะตรวจสอบข้อมูลจากไฟล์เสียงได้ในปริมาณมากและรวดเร็ว แทนการใช้คนสุ่มตรวจที่อาจจะเกิดทำได้ไม่ครบถ้วนทุกไฟล์และอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้

สู่สมาชิกของประชาคม อวท.
จากจุดเริ่มต้นปีแรกที่มีทีมงานเพียง 3 คน ปัจจุบันธุรกิจค่อยๆ เติบโตขึ้นจนมีทีมงานรวม 10 คน แล้วมีโอกาสที่จะขยายเพิ่มขึ้นอีก เราจะเติบโตอย่างช้าๆ และอยากเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ประกอบการ SME ที่เติบโตและขยายธุรกิจในเวลาที่เหมาะสม
“ในช่วงแรก AI9 ไปอยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่พอธุรกิจเติบโตขึ้นก็พบว่าห้องทำงานไม่เพียงพอกับจำนวนคนทำงาน ก็เลยย้ายมาที่ อวท. ตั้งแต่ปี 2565 ที่อาคาร INC1 ชั้น 2 ส่วนตัวจะชอบบรรยากาศการทำงานที่นี่ มี ecosystem ที่ดี คึกคัก ตัดสินใจไม่ยาก น้องในทีมก็ชอบ ทุกอย่างลงตัว สภาพความเป็นอยู่ดีหมด มีน้องๆ ที่จบจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาทำงาน เพราะใกล้บ้าน ส่วนเรื่องการเดินทางติดต่อกับลูกค้าก็ไม่เป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่เป็นการประชุมออนไลน์ มีบางครั้งที่ลูกค้าจะเดินทางมาประชุมที่ อวท. แต่ก็เดินทางสะดวกขึ้นทางด่วนมาถึงในเวลารวดเร็ว”
นอกจากนี้ AI9 ยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการนำผลงานไปจัดแสดงในงานนิทรรศการต่าง ๆ ที่ อวท. หรือเนคเทคจัดขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ทำให้ AI9 ได้เปิดตัวให้กับหน่วยงานภายนอกได้มาทำความรู้จักและอาจจะเกิดความร่วมมือได้ในอนาคต


สนใจมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งหรือใช้บริการของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ติดต่อที่ CONNEX: ศูนย์เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสู่ภาคธุรกิจ
โทร. 0-2564-7200 ต่อ 71950 หรือ connex@nstda.or.th