BGC
BGC หรือที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันในชื่อ “บางกอกกล๊าส” เป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีตั้งแต่ขวดแก้ว ขวดพลาสติก ฝาพลาสติก ฉลากฟิล์ม กล่องกระดาษลูกฟูก และบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในฐานะ “Total Packaging Solutions” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญของบริษัท
ที่ผ่านมา BGC ให้ความสำคัญด้านการวิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และยังได้นำแนวคิด Open Innovation มาปรับใช้กับองค์กร เพื่อมุ่งสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งเสริมธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยในปี พ.ศ. 2564 ได้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ BGC Technology and Innovation Center ขึ้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) เพื่อวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดรับกับเทรนด์ของโลกและความต้องการของลูกค้า
ดร.อรธิดา แซ่โค้ว ผู้จัดการ TIC เล่าว่า งานวิจัยที่ BGC สนใจหลัก ๆ มีด้วยกัน 3 ด้าน คือ Product Innovation การพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Automation Technology การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และ Sustainability ที่มุ่งเน้นการลดของเสียจากกระบวนการผลิตและลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ
ดร.อรธิดา แซ่โค้ว ผู้จัดการ TIC
หลังจาก BGC เข้ามาตั้งศูนย์ TIC ในพื้นที่ อวท. ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่าง BGC กับนักวิจัย สวทช. ทั้งศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) หลายโครงการ โดยตัวอย่างโครงการที่สำเร็จลุล่วงและได้กระบวนการผลิตต้นแบบแล้ว เช่น “การเคลือบขวดแก้วให้แข็งแรงขึ้น” ที่จะต่อยอดไปทำให้ขวดแก้วน้ำหนักเบาขึ้นได้
“จุดปัญหา (pain point) ของขวดแก้วคือมีน้ำหนักมากและแตกได้ จึงไม่สะดวกในการพกพาไปที่ต่าง ๆ เราจึงคิดหาวิธีทําให้ขวดแก้วมีน้ำหนักเบาลงแต่ยังแข็งแรงเหมือนเดิมหรือดีขึ้น โดยทีมนักวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ของบริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยเอ็มเทคที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมในการพัฒนากระบวนการเคลือบ จนได้กระบวนการต้นแบบสำหรับขวดแก้วที่มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อขวดแก้วแข็งแรงขึ้นจะทำให้บริษัทต่อยอดไปทำขวดแก้วน้ำหนักเบาขึ้นได้ เป็นการลดการใช้ทรัพยากร ลดการเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต และเมื่อขวดแก้ว มีน้ำหนักเบาลง ผู้บริโภคก็มีความต้องการใช้งานมากขึ้น ช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในการขนส่งหรือขนส่งได้ในปริมาณ มากขึ้นแต่น้ำหนักเท่าเดิม” ดร.อรธิดากล่าว

BGC ยังให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยร่วมกับเอ็มเทคพัฒนากระเบื้องปูพื้นจากกากตะกอนแก้วที่มีความแข็งแรงเทียบเท่ากับกระเบื้องปูพื้นทั่วไปและนำไปใช้งานจริงแล้วภายในโรงงาน เป็นนวัตกรรมที่ทั้งนำของเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาสร้างมูลค่าเพิ่มและใช้ประโยชน์ทั้งช่วยลดต้นทุนในการส่งกำจัด
การพัฒนากระเบื้องปูพื้นจากกากตะกอนแก้วที่เป็นของเสียจากโรงงาน
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับนักวิจัยไบโอเทคคัดเลือกสายพันธุ์สาหร่ายที่เหมาะสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้สาหร่ายช่วยลดการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมุ่งสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนตามเป้าหมายของบริษัท
งานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีลดการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตด้วยสาหร่าย
แม้การลงทุนวิจัยพัฒนาจะมีต้นทุนสูงและความเสี่ยงสูงที่ภาคเอกชนอาจต้องแบกรับ แต่การลงทุนจัดตั้งศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขึ้นในพื้นที่ อวท. กลับเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของ BGC ซึ่งบริษัทฯ มีนโยบายการทำวิจัยแบบ Open Innovation ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชน
“เราเลือกมาตั้งศูนย์ TIC ที่ อวท. เพราะเห็นว่ามีศูนย์วิจัยที่หลากหลาย ตอบโจทย์นโยบายหรือกลยุทธ์ในทิศทางที่ต้องการจะมุ่งไปได้ ที่สำคัญยังช่วยขยายขอบเขตการทําวิจัยได้เร็วและกว้างขวางขึ้น นักวิจัยของบริษัทได้พัฒนาองค์ความรู้หลากหลายด้าน นอกเหนือจากความร่วมมือด้านการวิจัยแล้ว ที่นี่ยังมีความพร้อมในด้านเครื่องมือวิจัยและการวิเคราะห์ทดสอบที่ครบถ้วน เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับบริษัทฯ ที่ต้องการทำธุรกิจนวัตกรรม เพราะการลงทุนอุปกรณ์มีค่าใช้จ่ายที่สูง และยังไม่มั่นใจได้ว่างานวิจัยจะสำเร็จเห็นผลขนาดไหน การใช้เครื่องมือของศูนย์วิจัยจึงช่วยได้มาก รวมทั้งมีส่วนช่วยในการตัดสินใจลงทุนโครงการต่าง ๆ อีกด้วย” ดร.อรธิดากล่าว
นอกจากความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาและการสนับสนุนด้านเครื่องมือต่าง ๆ แล้ว อวท. ยังช่วยผลักดันผู้ประกอบการนำผลงานนวัตกรรมการผลิตกระจก “Robotic Stacking for Glass Sheet” เข้าร่วมประกวดและคว้ารางวัล Gold prize และ Special Prize ในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติ Seoul International Invention Fair 2023
“เราไม่เคยรู้จักเวทีการประกวดนี้มาก่อน พอมาอยู่ที่นี่ก็ได้รับการแนะนำจาก อวท. เห็นว่าน่าสนใจ เป็นเวทีต่างประเทศ และมีงานที่ทําสําเร็จออกมาเป็นชิ้นงานพอดี จึงลองส่งประกวดดู เป็นการเสริมแรงบันดาลใจและสร้างความท้าทายให้แก่ทีม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลกลับมา ถือเป็นความภูมิใจของทีมงานและบริษัท” ดร.อรธิดากล่าว
ทีมนักวิจัย TIC คว้ารางวัล Gold Prize และ Special Prize ในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติ Seoul International Invention Fair 2023
ภายในศูนย์ TIC ยังได้จัดสรรพื้นที่ทำงานร่วม (coworking space) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น โต๊ะทำงาน ห้องประชุม พื้นที่พักผ่อน เพื่อให้นักวิจัยในแต่ละทีมมีพื้นที่ทำงานร่วมกัน มีโอกาสพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
“เราคิดว่าการทํางานวิจัยต้องเริ่มต้นจากความสุข อยากให้พนักงานมีความสุขและมีแพสชันในการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้มีแรงบันดาลใจคิดอะไรใหม่ ๆ ออกมาได้มากขึ้น อีกประการหนึ่งก็คือ coworking space จะเป็นสถานที่ให้พนักงานต่างทีมได้มาเจอกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน บางครั้งทำให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ หรือช่วยกันแก้ปัญหาในการทำงานโครงการที่ยังติดขัดอยู่ได้สำเร็จ ทำให้พัฒนาโครงการวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ดร.อรธิดายังได้ทิ้งท้ายข้อคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในปัจจุบันว่า ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งและพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะประสบความสำเร็จด้วยการทำงานเพียงลำพังนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง การสร้างความร่วมมือระหว่างกัน การนำความรู้ ความสามารถ และทรัพยากรของแต่ละฝ่ายมารวมกันจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เกิดการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจก้าวไปได้เร็วและไปได้ไกลบนความยั่งยืน




ติดต่อที่ CONNEX: ศูนย์เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสู่ภาคธุรกิจ
โทร. 0-2564-7200 ต่อ 71950 หรือ connex@nstda.or.th