ก.วิทย์ ผนึกกำลัง 3 แกนหลักของประเทศดึง 50 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมือพัฒนา EECi ยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความแข็งแกร่ง Thailand 4.0

News & Activities

10 เมษายน 2560

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ ลงนามความร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi: Eastern Economic Corridor of Innovation) กับ 50 หน่วยงาน 3 แกนหลักในการขับเคลื่อนประเทศ ประกอบด้วย ภาคเอกชน หน่วยงานรัฐ สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและเร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ณ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา จังหวัดระยอง ในการนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้ให้เกียรติร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รวท. กล่าวว่า สวทช.ได้รับมอบหมายในการจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประเทศ EECi ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 แห่ง คือ วังจันทร์วัลเลย์ จังหวัดระยอง บนเนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่ เป็นที่ตั้งของ ARIPOLIS ศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมในด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และระบบอัจฉริยะ และ BIOPOLIS ศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพ และพื้นที่อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (Space Krenovation Park, SKP) ศรีราชา จังหวัดชลบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ เป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศด้านนวัตกรรมอวกาศและภูมิสารสนเทศ

สำหรับพันธมิตรที่ร่วมลงนามในครั้งนี้ประกอบด้วย ภาคเอกชน 20 หน่วยงาน สถาบันวิจัยในประเทศและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง 10 หน่วยงาน สถาบันการศึกษา 15 หน่วยงาน สถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างประเทศ 5 หน่วยงาน

ประกอบด้วยภาคเอกชน 20 หน่วยงาน ได้แก่

ก.วิทย์ ผนึกกำลัง 3 แกนหลักของประเทศดึง 50 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมือพัฒนา EECi ยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความแข็งแกร่ง Thailand 4.0

1.บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท สุพรีม ไฮทีร่า จำกัด
3. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
4. บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
5. บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)
6. บริษัท ไทวา จำกัด (มหาชน)
7. บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
8. บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)
9. บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
10. บริษัท เอเชีย สตาร์ เทรด จำกัด

11. บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
12. บริษัท แบ็กซ์เตอร์ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด
13. สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์
14. บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
15. ประชารัฐ กลุ่ม D5 การพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
16. บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน)
17. บริษัทกราวิเทคไทย(ไทยแลนด์) จำกัด
18. บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด
19. บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด
20. Corbion Purac (Thailand) Ltd.

สถาบันวิจัยในประเทศและหน่วยงานรัฐ 10 หน่วยงาน ได้แก่

1. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
2. สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
3. กรมวิทยาศาสตร์บริการ
4. สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ

6. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ประเทศไทย
7. สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
8. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
9. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
10. สถาบันยานยนต์

สถาบันการศึกษา 15 หน่วยงาน ได้แก่

1. สถาบันวิทยสิริเมธี
2. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
4. มหาวิทยาลัยนเรศวร
5. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
6. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
7. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
8. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

9.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
10. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
12. สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
13. มหาวิทยาลัยมหิดล
14. สถาบันไทย-เยอรมัน
15. โรงเรียนกำเนิดวิทย์

สถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างประเทศ 5 หน่วยงาน

1. Chinese Academy of Sciences (CAS)
2. Korea Advanced Institute of Science & Technology (KAIST)
3. Japan-ASEAN Science, Technology, and Innovation Platform (JASTIP)
4. Kyoto University, Tokyo Tech
5. สถาบันฟรอนโฮเฟอร์ (Fraunhofer-Gesellschaft)

ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สวทช. กล่าวว่า EECi เป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและชุมชนในพื้นที่ เปรียบเสมือนไข่แดงของ EEC ที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเดิมพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรใหม่นำไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความเข้มข้นของงานวิจัยและนวัตกรรม รวมไปถึงการวิเคราะห์ทดสอบที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน ห้องทดลองภาคสนาม โรงงานต้นแบบและโรงงานสาธิต รวมถึงกำหนดให้ EECi เป็นเขตผ่อนปรนกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สามารถทดสอบนวัตกรรมใหม่ได้ นอกจากนี้ EECi ยังคงดำเนินกิจกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย

ในภาพรวมของประเทศเราหวังว่า EECi จะช่วยกระตุ้นและยกระดับในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะตัวเลขการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาจะเพิ่มมากขึ้นจาก 0.62% เป็น 1% การลงทุนการวิจัยและพัฒนาของเอกชนต่อภาครัฐจะเพิ่มขึ้นเป็น 70:30 ในปี 2561 จะทำให้ประเทศมีงานวิจัยที่สามารถตอบโจทย์ในด้านต่างๆ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ มีคุณภาพมากขึ้น ผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีความมั่นคง และยั่งยืนต่อไปในอนาคต ดร.ณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย